วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สรุปบทที่ 4 Bcom 4202 การจัดการธุรกิจอิเล็คทรอนิกส์

E-commerce


      ธุึรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Business) คือกระบวนการดำเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีเึครือข่ายที่เรียกว่า องค์กรเครือข่ายร่วม (Internet worked Network) ไม่ว่าจะเป็นการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce) หรือแม้แต่ระบบธุรกิจภายในองค์กร

การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce)

        - การดำเนินธุรกิจ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ECRC Thailand,1999)
     
        - การกระจาย การตลาด การขาย หรือการข่นส่งผลิตภัณฑ์ และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (WTO,1998)
     
        - ขบวนการที่ใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำธุรกิจที่จะบรรลุเป้าหมายขององค์กร ซึ่่งใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ  และครอบคลุมรูปแบบทางการเงิน เช่น ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์, การค้าอิเล็กทรอนิกส์, การแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ
     
        - ธุรกรรมทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ทั้งในระดังองค์กร และส่วนบุคคล บนพื้นฐานของการประมวลผล และการส่งข้อมูลดิจิทัล ที่มีทั้งข้อความ เสียง และภาพ (OECD,1997)

        - การทำธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งขึ้นอยู่กับการประมวลผล และการส่งข้อมูลที่มีข้อความ เสียง และภาพ ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์  รวมถึงการขายสินค้า และบริการด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ , การข่นส่งผลิตภัณฑ์ที่เป็นเ้นื้อหาข้อมูลแบบดิจิทัลในระบบออนไลน์, การประมูล, การออกแบบทางวิศวกรรมร่วมกัน การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ฯลฯ

สรุปการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce)
 
      การทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุึกช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้า และบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่ิอินเตอร์เน็ต เป็นต้น  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงนขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับสินค้า เป็นต้น และนอกจากนี้ ยังลดข้อจำกัดด้านระยะทางและเวลาลงได้ด้วย

การประยุกต์ใช้ (E-commerce Application) 


     - การค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ (E-Retailing)
     - การโฆษณาอิเล็กทรอนิกส์ (E- Advertisement)
     - การประมูลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Auctions)
     - การบริการอิเล็กทรอนิกส์ (E-Service)
     - รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government)
     - การพาณิชย์ผ่านระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Commerce)

โครงสร้างพื้นฐาน (E-Commerce Infrastructure)
 
     - ระบบเครือข่าย (Network)
     - ช่องทางการติดต่อสื่อสาร (Chanel Of Communication)
     - การจัดรูปแบบและการเผยแพร่เนื้อหา (Format & Content Publishing)
     - การรักษาความปลอดภัย (Security)

การสนับสนุน (E-Commerce Supporting) 
     
       - การพัฒนาระบบงาน (E-Commerce Application Development)
       - การวางแผนกลยุทธ์ (E-Commerce Strategy)
       - กฏหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce Law)
       -  การจดทะเบียนโดเมนเนม (Domain Name Registration)
       - การโปรโมทย์เว็บไซต์ (Website Promotion)

การจัดการ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์


     Brick - and - Mortar organization
             องค์กรที่ทำธุรกิจ แบบ Off-line คือ การนำเสนอขายสินค้า ผ่านช่องทางการตลาด  ถึงมือผู้บริโภค สามารถจับต้องสินค้า ทดลองใช้ได้ แต่มีข้อจำกัดด้าน พื้นที่การขาย ที่สามรถทำได้ แค่ ในเมือง ๆ หนึ่ง ไม่สามารถครอบคลุม กลุ่มลูกค้าที่อยู่กระจัดกระจาย

    Virtual Organization
       องค์การที่นำเสนอขายสินค้า ผ่านระบบเครือข่าย หรือขายแบบ On-line

    Click - and - Mortar Organization
     องค์การที่มีการผสมผสานการนำเสนอขาย ทั้งแบบ Off-line ที่นำเสนอขายทางช่องทางการตลาดทั่วไป และ แบบ On-line ที่นำเสนอขายแบบผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

ประเภทของ E-Commerce 

    กลุ่มธุรกิจที่ค้ากำไร (Profits Organization)
       - Business - to - Business (B2B)
       - Business - to - Customer (B2C)
       - Business - to - Business - to - Customer (B2B2C)
       - Customer - to - Customer (C2C)
       - Customer - to - Business (C2B)
       - Mobile Commerce

   กลุ่มธุรกิจที่ไม่ค้ากำไร (Non - Profit Organization)
      - Intrabusiness (Organization) E-Commerce
      - Business - to - Employee (B2E)
      - Government - to - Citizen (G2C)
      - Collaborative Commerce (C-Commerce)
      - Exchange - to - Exchange (E2E)
      - E-Learning

E-Commerce Business Model  แบบจำลองทางธุรกิจ คือ 
    
       วิธีการดำเนินการทางธุรกิจที่ช่วยสร้างรายได้ อันจะทำให้บริษัทอยู่ต่อไปได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงกิจกรรมที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Add) ให้กับสินค้าและบริการ
        วิธีการที่องค์กรคิดค้นขึ้นมาเพื่อประยุกต์ใช้ทรัพยากรขององค์กรอย่างเต็มที่ อันจะก่อให้เกิดผลกำไรสูงสุดและเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการ

ขอแ่ตกต่างระหว่างการทำธุรกิจทั่วไปกับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

ขั้นตอนการขาย >> หาข้อมูลของสินค้าตรวจสอบราคา ส่งรายการสั่งซื้อ (ผู้ซื้อ) ตรวจสอบสินค้าในคลังยืนยันการรับสินค้า ส่งเงินไปชำระ (ผู้ซื้อ)

ระบบงานเดิม .
    วารสาร / แคตาล๊อค / สิ่งพิมพ์โทรศัพท์ / โทรสารแบบฟอร์ม / ไปรษณีย์

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
     เว็บเพจออนไลน์แคตาล๊อคอีเมล์ / EDI / ฐานข้อมูลแบบออนไลน์อีเมล์ / EDI /EFT

ข้อดีและข้อเสียของ E-Commerce

ข้อดี 
   - สามารถเปิดดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
   - สามารถดำเนินการค้าขายได้อย่างอิสระทั่วโลก
   - ใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ
   - ไม่ต้องเสียค่าเดินทางในระหว่างการดำเนินการ
   - ง่ายต่อการประชาสัมพันธ์ และยังสามารถประาขาสัมพันธ์ในครั้งเดียวแต่ไปได้ทั่วโลก
   - สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ใช้บริการอินเตอร์เนตได้ง่าย
   - ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาสำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย
   - ไม่จำเป็นต้องเปิดเป็นร้านขายสินค้าจริง ๆ

 ข้อเสีย
    - ต้องมีระบบการรักษาควมปลอดภัยของระบบที่มีประสิทธิภาพ
    - ไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าี่ที่ไม่ได้ใช้บริการอินเทอร์เนตได้
    - ขาดความเชื่อมั่นในเรื่องการชำระเงินผ่านทางบัตรเครดิต
    - ขาดกฏหมายรองรับในเรื่องการดำเนินการธุรกิจขายสินค้าแบบออนไลน์
    - การดำเนินการทางด้านภาษียังไม่ชัดเจน


ที่มา : สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สรุปบทที่ 3 Bcom 4202 การจัดการธุรกิจอิเล็คทรอนิกส์

Electronic-Environment

Business Environment นักปราชญ์จีน นาม ซุนวู เคยให้คำคมที่ว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง และนั้นจึงเป็นที่มาของการใช้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในวงการธุรกิจ

สภาพแวดล้อมภายใน Internal Environment
1) ตลาด
2) ผลิต
3) องค์กร
4) การเงิน

สภาพแวดล้อมภายนอก External Environment
1) สังคม
2) เทคโนโลยี
3) ลูกค้า
4) ปัจจัยการผลิต
5) คนกลาง
6) สาธารณชน
7) การเมืองกฏหมาย
8) สภาพเศรษฐกิจ

สภาพแวดล้อมภายนอกธุรกิจระดับจุลภาค (Micro External Environment)
     เป็นปัจจัยสิ่งแวดล้อมนอกที่ควบคุมไม่ได้ แต่เลือกที่จะติดต่อ หรือเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม แบ่งเป็น 4 ประเภท
1) ตลาด หรือลูกค้า (Market)
2) ผู้ขายปัจจัยการผลิตหรือวัตถุดิบ (Suppliers)
3) คนกลางทางการตลาด (Marketing Intermediaries)
4) สาธารณชนและกลุ่มผลประโยชน์ (Publics)

สภาพแวดล้อมภายนอกธุรกิจระดับมหาภาค (Macro External Environment)
     เป็นปัจจัยสิ่งแวดล้อมภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ และไม่สามารถควบคุมการเพิ่มขี้นหรือลดลงได้ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1) ด้านการเมืองและกฏหมาย
2) เศรษฐกิจ
3) สังคม
4) เทคโนโลยี

การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อการบริหารธุรกิจ

ปัจจัยภายในที่ควบคุมได้
     - ส่งผลดีต่อธุรกิจ
          จุดแข็ง (Strengths)

     - ส่งผลร้ายต่อธุรกิจ
           จุดอ่อน (Weaknesses)

ปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้
     - ส่งผลดีต่อธุรกิจ
          โอกาส (Opportunity)

     - ส่งผลร้ายต่อธุรกิจ
         อุปสรรค (Threats)

S  (Strengths) จุดแข็ง
     เป็นปัจจัยภายในที่สามารถควบคุมได้ตามศักยภาพของธุรกิจที่มีอยู่

W (Weaknesses) จุดอ่อน
     เป็นปัจจัยภายในที่เกิดขึ้นภายในธุรกิจ อันเนื่องมาจากการบริหารงานภายในที่ผิดพลาดเอง

O (Opportunities) โอกาส
     เป็นปัจจัยภายนอกที่ธุรกิจไม่สามารถเข้าไปควบคุมให้เกิดหรือไม่เกิดได้ แต่กลับเป็นสถานการณ์แวดล้อมที่ส่งผลดีให้กับองค์กร

T (Threats) อุปสรรค
     เป็นปัจจัยภายนอกที่ธุรกิจไม่สามารถเข้าไปควบคุมให้เกิด หรือ ไม่เกิดขึ้นได้ และเป็นสภาวการณ์แวดล้อมอันเลวร้ายที่ส่งผลกระทบให้ธุรกิจเสียหาย

การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ด้วย
   
SO = ใช้จุดแข็งบนโอกาสที่มี   (Strengths) + (Opportunities)
WO = ขจัดจุดอ่อนโดยใช้โอกาส (Weaknesses) + (Opportunities)
ST  = เอาจุดแข็งป้องกันอุปสรรค (Strengths) + (Threats) 
WT = ขจัดจุดอ่อนป้องกันอุปสรรค (Weaknesses) + (Threats) 


SO Strategy  กลยุทธ์เชิงรุก การใช้จุดแข็งบนโอกาสที่มี ที่ได้จากการประเมินสภาพแวดล้อมที่เป็นจุดแข็ง และโอกาสมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์เชิงรุก

ST Strategy กลยุทธ์ิเชิงป้องกัน เป็นการใช้จุดแข็งและข้อจำกัดมาพิจารณาร่วมัน เพื่อกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ หรือกลยุทธ์ในเชิงป้อกัน

WO Strategy กลยุทธ์เชิงแก้ไข เป็นการใช้ข้อมูลที่ได้จากสภาพแวดล้อมที่เป็นจุดอ่อนและโอกาศมาิพิจารณา เพื่อที่จะนำมากกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ หรือกลยุทธ์ในเชิงแก้ไข

WT Strategy กลยุทธ์เชิงรับ เป็นการใช้ข้อมูลสภาพแวดล้อมที่เป็นจุดอ่อน และข้อจำกัดมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อที่จะำนำมากำหนดเป็นยุทธศาสตร์หรือยุทธศาสตร์ในเชิงรับ






ที่มา : สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สรุปบทที่ 2 Bcom 4202 การจัดการธุรกิจอิเล็คทรอนิกส์

โครงสร้าง ธุรกิจอิเล็คทรอนิกส์ E-Business Infrastructure

        หัวข้อหลัก (Main Topic)
Internet technology (เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต)
Web technology (เทคโนโลยีเว็บไซต์)
Internet - access software application (ซอฟต์แวร์อรรถประโยชน์ในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ต)
How does it work? Internet Standards (วิธีการทำงานขั้นพื้นฐานของอินเตอร์เน็ต)
Managing E-business Infrastructure   (กระบวนการจัดการโครงสร้างทางธุรกิจอิเล็คทรอนิกส์)

       การกำหนดนิยาม Definition
- นิยามของ Technology infrastructure คื่อ โครงสร้างพื้นฐานในการให้บริการแก่ผู้ใช้งาน คือ ความเร็ว และการตอบสนองการร้องขอ

- การให้บริการ E -business จะต้องกำหนดความสามารถขององค์กรในการแข่งขันทางธุรกิจที่เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับตัวเองในตลาด

- Internet technology เทคโนโลยีที่ช่วยในการเชื่อมต่อทั่วโลก แต่ในการถ่ายโอนข้อมูล โดยเป็นระบบขนาดใหญ่ในรูปแบบ Client/Server

- Intranet Applications มักถูกใช้ในการสนับสนุนกิจกรรมหลัก Supply-Chain Management
- Extranet Applications ช่วยในการเข้าถึงข้อมูลโดยควบคุมจากภายนอกองค์กร สำหรับธุรกิจเฉพาะเจาะจง

Web technology
       www: (World Wide Web) ขั้นตอนมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะบนโลกอินเตอร์เน็ต ในรูปแบบเอกสารพื้นฐาน คือ HTML โดยผ่านมาตรฐานในการรับส่งข้อมูล Protocal โปรโตคอล

ความรู้พื้นฐานในการใช้งานอินเตอร์เน็ต
    โปรโตคอล เป็นเพียงข้อตกลงกันระหว่าง 2 ฝ่าย ที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกันได้อย่างถูกต้อง และยังทำหน้าที่กำหนดวิธีการส่งข้อมูลหรือไฟล์ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์  Client และ Server และมีโปรแกรมประเภท Browser เป็นตัวช่วยในการติดต่อสื่อสารได้ง่ายขึ้น โดยโปรโตคอลที่ใช้ในเครือข่ายนี้ เรียกว่า TCP/IP

Web Browsers โปรแกรมที่ใช้ดูเว็บไซต์ ใช้ในการดูและโต้ตอบข้อมูลสารสนเทศที่ เก็บไว้ในหน้าเว็บด้วยภาษา HTML โดยโปรแกรมที่นิยมในปัจจุบัน

       Internet Explorer
       Mozilla FireFox
       Google Chrome
       Safari

เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งให้บริการที่เก็บเว็บไซต์ (Server) แล้วให้ผู้ใช้ (Client) เรียกชมเว็บไซต์ ผ่านโปรโตคอล HTTP ทางเว็บราวเซอร์ โดยโปรแกรม Web Server ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน
             Apache HTTP Server จาก Apache Software Foundation
             Internet Information Sever จาก Microsoft Crop.
             Sun Java System Web Server จาก Sun Microsystem Crop.
             Zeus Web Server จาก Zeus Technology

Browser Compatibility
การตรวจสอบเว็บไซต์ที่สามารถรองรับการเช้าชมเว็บไซต์ผ่าน Browser ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ หลังจากที่พัฒนาแล้ว โดยสามารถตรวจสอบได้ใน www.browserhots.org หรือ www.viewlike.us

Evolution Web 1.0 , Web 2.0 , Web 3.0 และ Web 4.0


Web 1.0 Read Only,Static Data with simple markup
   เป็นเว็บที่ผู้เข้าชมอ่านได้อย่างเดียว (Read-only) หากจะทำการแก้ไขข้อมูลหน้าตาของเว็บไซต์ จะแก้ไขได้เฉพาะผู้ดูแลเว็บไซต์ (Web Master) ซึ่งจะใช้ภาษา HTML (Hyper Text Markup Language) เป็นหลัก
ถือว่าเป็นเว็บยุคแรก ๆ ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนาโดยนำเอาภาษา PHP และ  Java Script เข้ามาใช้

Web 2.0 Read-write
 เป็นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ เช่น เว็บบอร์ด เว็บบล๊อก เป็นต้น ซึ่งจะมีฐานข้อมูลเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งถือว่าเป็นยุของการแบ่งปันข้อมูล

Web 3.0 Read/Write/Relate, Data with Structured Metadata 
    เป็นการพัฒนาต่อจาก Web 2.0 โดยสามารถจัดการฐานข้อมูลจำนวนมาก ๆ ให้อยู่ในรูปแบบ Metadata ที่หมายถึงข้อมูลที่บอกรายละเอียดของข้อมูล (Data about data) โดยจะมี
Tage ที่มีความสัมพันธ์กับอีก Tabe หนึ่ง เช่น พิมพ์คำที่ต้องการค้นหา ใช้คำว่า ภูเขาไฟฟูจิ ในเว็บเสริ์จเอนจิ้น อย่าง Google จะมีข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคำมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
สายการบิน สภาพแวดล้อม ฤดูกาล เป็นต้น

สำหรับการพัฒนาได้มีการให้มีการเริ่มใช้ AI (Artificial Intelligence)
   ซึ่งสามารถค้นหา และคาดเดาความต้องกาของผู้บรโรค เช่น Google.co.th เป็นต้น

เว็บ 3.0 ที่ได้รับการพัฒนาประกอบด้วย 
1 AI (Artificial Intelligence)
2 Semantic Web
3 Automated reasoning
4 Semantic Wiki
5 Ontology language  หรือ OWL

AI (Artificial Intelligence) ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สร้าความฉลาดให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้สามารถคดาดเดาพฤติกรรมและวิเคราะห์ความต้องการ ในการค้นหาข้อมูลที่ตรง
ตามความต้องการมากที่สุด

Semantic Web คือ การรวมฐานข้อมูลแบบ อัตโนมัติโดยใช้การคาดเดาและหลักการทางคณิตศาสตร์เข้ามาช่วย ซึ่งผลลัพธ์ของ Application ที่สร้างบน Semantic Web จะถูกส่งไปยัง
อินเตอร์เน็ต และส่งต่อไปยัง WebBrowser เช่น Internet Explorer , Mozilla FireFox

Automated reasoning เป็นการเขียนโปรแกรมให้ระบบคอมพิวเตอร์รู้จักการแก้ปัญหา มีการประมวลผลได้อย่างสมเหตุสมผลพร้อมทั้งแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าเองได้อัตโนมัติ
โดยสามารถคาดเดาความต้องการของผู้ใช้งาน และผสมผสาน Application ต่าง ๆบนหน้าเว็บไซต์เพื่อความสะดวกในการใช้งานของผู้ใช้งาน

Semantic Wiki มีลักษณะคล้ายดิชชันนารี โดยทำให้สามารถค้นหาความหมายหรือข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างละเอียดและแม่นยำ

Ontology language หรือ OWL ย่อมาจากคำว่า Web Ontology Language เป็นภาษาที่ใช้อธิบายถึงข้อมูลใน WebSite ในเชิง Ontology ซึ่งหมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ โดยดูจาก
ความหมายของสิ่งนั้น ๆ โดย OWL เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นโดน W3C เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาข้อมูลใน Internet ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นกับ  Web1.0 , Web2.0 , Web3.0 , Web 4.0 

Web 1.0 The Web
  - Content portals
  - Data bases
  - File Servers
  - Websiters
  - File Sharing

Web 2.0 Social Web
  - Wiki
  - RSS
  - Blogs
  - Social Networks
  - Community Portals

Web 3.0 Semantic Web
  - Ontology
  - Intelligent Agents
  - Taxonomies
  - Semantic Web

Web 4.0 Vbiguitous Web
  - Sematic Agents
  - Linked data
  - Sementic Wikis

Blog ย่อมาจาก Weblog หรือ We Blog คือ การบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาเป็นเรื่องใดก็ได้

คำนิยามศัพท์
เพิ่มข้อความให้กับ Blog ที่มีอยู่ เรียกว่า Blogging
บทความใน Blog เรียกว่า Posts หรือ Entries

จัดเด่นของ Blog
     1 เป็นเครื่องมือที่สือความเป็นกันเอง ระหว่างผู้ใช้ กับ ผู้เขียนบล๊อก
     2 มีความสะดวกและใช้งานง่าย ในการเผยแพร่ความคิดเห็น
     3 ผู้เข้าชมสามารถแสดงความคิดเห็นเพื่อแลกเปลี่ยนและเกิดความรู้ใหม่ ๆ

ข้อแตกต่าง Blog กับเว็บไซต์ประเภทอื่น  ๆ
    - การใส่ข้อมูลใหม่ทำได้ง่าย
    - มี Template ที่จัดการในด้านของรูปแบบเอกสาร
    - มีการแยกเนื้อหา โดยแยกตามวัน ประเภทของผู้แต่ง
    - ผู้จัดการ Blog สามารถเชิญ หรือเพิ่มผู้แต่งคนอื่น โดยจัดการเรื่องการอนุญาตและเข้าถึงเนื้อหาเจ้าของ Blog จะเป็นผู้สร้างหัวข้อเท่านั้น

Internet Forum ทำหน้าที่คล้าย Bulletin Board และ Newsgroup
  - มีการรวบรวมข้อมูลทั่วไป เช่น เทคโนโลยี,เกมคอมพิวเตอร์,การเมือง, ฯลฯ
   - ผู้ใช้สามารถโพสหัวข้อลงไปในกระดานได้
   - ผู้ใช้คนอื่น ๆ ก็สามารถเลือกดูหัวข้อหรือแม้กระทั้งโพสแสดงความคิดเห็นลงบนไปได้

Wiki อ่านออกเสียง Wicky, Weekee, Veekee
           สามารถสร้างและแก้ไขหน้าเว็บเพจขึ้นมาใหม่ผ่านทางเว็บบราวเซอร์ โดยไม่ต้องสร้างเอกสาร HTML Wiki เน้นการทำระบบสารานุกรม HowTos ที่รวบองค์ความรู้หลาย ๆ แห่ง
เข้าไว้ด้วยกันโดยเฉพาะ เครื่องมือที่ใช้ทำ Wikipedia เป็นระบบสารานุกรม (Encyclopedia) สาธารณะ ที่ทุกคนสามารถใส่ข้อมูลลงไปได้ รองรับภาษามากกว่า 70  ภาษา รวมทั้งภาษาไทย
       นอกจากนี้ยังแสดงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล (ความเป็นตัวตนของแต่ละบุคคล) ในการสื่อต่อสาธารณะ โดยมีการควบคุมน้อยที่สุด และเป็นไปอย่างอิสระปราศจากการครอบงำจากเจ้า
ของเทคโนโลยีให้มากที่สุด ดังนั้นการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อสังคม พึงตระหนักถึงหลักการเครพในสิทธิของปัจเจก (Individual) ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

Instant Messenging 
  เป็นการอนุญาตให้มีการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลบนเครือข่าย เป็นแบบ Relative Privacy เช่น Gtalk, Skype, Meetro, ICQ, Yahoo Messenger, MSN Messenger และ AOL Instant Messanger

FolkSonomy ปัจเจกวิธาน  ซึ่งก่อนหน้าจะเกิดคำนี้ ได้มีการจัดกลุ่มการจัดระเบียบและค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตโดยทั่วไป 3 แบบ
       ค้นหาในเนื้อความ (Text Search)
      เรื่องเนื้อหาตามลำดับเวลา (Chronological)
      แยกตามกลุ่มประเภท (Category Classification)

วิธีค้นหาใน (Text Search)
      เช่น Google ที่ก่อตั้งโดย Sergery Brin และ Larry Page ได้ออกแบบเพื่อจัดอันดับความสำคัญโดยคำนวณจากการนับ Link จากเว็บอื่น ๆ ที่ชี้มาที่เว็บหนึ่ง ๆ

เรียงเนื้อหาตามลำดับเวลา (Chronological)
    เนื้อหาข้อมูลจะจัดเก็บเรียงลำดับเวลาโดย แสดง ตามเวลาใหม่ล่าสุดก่อน เช่น CNN, BBC, google news เนื้อหาเก่าจะตกไปอยู่ด้านล่าง Blog ก็ใช้วิธีการนี้เช่นกัน
โดยสามารถดูเนื้อหาย้อนหลังได้จากปฏิทินกิจกรรมของเว็บ

แยกตามกลุ่มประเภท (Category  Classification)
การจัดระเบียบแบบนี้นั้นจะยึดเอาหัวข้อเป็นหลัก แล้วแยกประเภทออกไปซึ่งจะช่วยในการค้นหาข้อมูลได้ง่าย

ปัญหาที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารบนอินเตอร์เน็ต
       - เนื้อหามีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกวัน
       - การค้นหาตรงกับความต้องการเป็นไปได้ยาก เพราะเนื้อหามีจำนวนมาก
       - ข้อมูลที่พบขาดความน่าเชื่อถือ

กลุ่ม Tag ที่ก่อตัวมองคล้ายกับกลุ่มเมฆ (Tag Cloud)
       เมื่อมีการใช้ Tag ของระบบ ปัจเจกวิธาน สามารถแสดงภาพรวมออกมาได้ว่าทุก ๆ คน ใช้ Tag ได้มากน้อยเพียงใด โดยถ้า Tag นั้นแสดงถึงคนที่เข้ามาใช้มาก ก็จะลักษณตัวใหญ่
ถ้ามีคนเข้ามาใช้น้อย ก็จะลักษณะตัวเล็ก

การให้คะแนนความนิยม (Rating and Population)
  การที่เว็บมีข้อมูลจำนวนมาก ทำให้ยากต่อการตัดสินใจเลือกว่าข้อมูลใดน่าสนใจ ระบบของปัจเจกวิธาน ช่วยแก้ปัญหาที่มีได้ โดยการแสดงจำนวนผู้ใช้ที่ได้ใส่ Tag ให้กับเว็บนั้น
ถ้ามีการใส่ Tag จำนวนมาก ก็จะแสดงถึงเว็บไซต์ได้รับความนิยมมาก

 เนื้อหาข้อมูลข้ามกัน (Cross-Navigation)
  เป็นการค้นหาที่เริ่มต้นที่ User แล้วไปที่แกน Tag และทำให้พบ Tag ที่เกี่ยวข้องได้อีก โดยไม่ได้ตั้งใจไว้ตอนแรก สำหรับที่ใช้เป็นเครื่องมือได้แก่
    - User  เว็บทั้งหมดที่ผู้ใช้ผู้นี้ใส่ Tag ให้และเรียกดู Tag Cloud ของผู้ใช้ผู้นี้ได้ด้วย
  - Tag เว็บทั้งหมดที่มีการใส่ Tag และเรียกดู Tag ที่เกี่ยวข้อง
- URL เว็บนี้ใครใส่ Tag แล้วใส่คำว่าอะไร

อนาคตของการใช้ Tag จะประยุกต์ไปใช้กับ Blog และ Wiki เพื่อความสะดวกในการค้นหาความรู้ต่าง ๆ

Internet Standard เป็นขบวนการที่เกี่ยวข้องกับทุก ๆ Protocol & Procedure และระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ที่ใช้ในระบบอินเตอร์เน็ต

TCP/IP ข้อตกลงในการควบคุมการรับส่งข้อมูลและ Internet หรือ Protcol ของระบบ Internet โดยย่อมาจากคำว่า Transmission Control Protocol/Internet Protocol ซึ่งทำให้เห็น
ว่ามีการทำงานร่วมกัน ของ 2 โปรโตคอล คือ TCP และ IP โดยโปรโตคอลที่มีบทบาทสำคัญคือ โปรโตคอล IP เนื่องจากถ้าโปรโตคอลอื่น ๆ ต้องการส่งผ่านข้อมูลข้ามเครือข่ายในอินเตอร์เน็ต
จะต้องอาศัยการผนึกข้อมูล Cencapsution ไปยังโปรโตคอล IP ที่มีกลไกลการระบุเส้นทาง (Route Service) บน Gateway หรือ Router ด้วยเหตุที่ โปรโตคอล IP จึงเป็นโปรโตคอลที่ระบุเส้นทางได้

HTTP ย่อมาจากคำว่า Hyper Text Transfer Protocal ซึ่งเป็น Protocol ที่ใช้ในการส่งข้อมูลต่างๆ ในโลกของ  World Wide Web เช่น ไฟล์  HTML , ไฟล์ Image  เป็นต้น หรือคำสั่ง Query String
HTTP ยังเป็น Network Protocol ที่ใช้หลักการของ Client - Server โดย HTTP-Client จะสร้าง Connection ไปยัง HTTP-Server ผ่าน Socket ของ TCP/IP หลังจากนั้นจะมีการส่งคำสั่ง (Request)
ที่อยู่ในรูปของ Messags เพื่อทวงถามถึง Resource กลับไปยัง HTTP-Client เมื่อส่งเสร็จสิ้นแล้ว HTTP-Server จะปิดการเชื่อมต่อ เมื่อมีการเชื่อมต่ออีกในครั้งต่อไป เราจะเรียกว่า Stateless Protocol

URLs Uniform resourcs locators
     เป็นการระบุแหล่งส่งทรัพยากรสากล URI ที่ใช้ระบุที่อยู่ของทรัพยากรที่ต้องการ โดยมีกลไกลบางอย่างสำหรับดึงข้อมูลทรัพยากรนั้นมาใช้ ในการใช้ในเอกสารทางเทคนิคและการอภิปรายทั่วไป
จึงมีการทำให้เกิดการสับกันระหว่าง URI กับ URL ซึ่ง URL นั้นจะใช้กับเว็บไซต์ และหมายถึง ที่อยู่บนเว็บไซต์

Domain Names ชื่อเว็บไซต์ ซึ่งจะต้องไม่ซ้ำกับคนอื่น ๆ ซึ่งเว็บไซต์แสดงถึงความมีตัวตนบนอินเตอร์เน็ต

ความยาวของ Domain ไม่เกิน 63 ตัวอักษร
Domain ต้องจดในชื่อของเราเท่านั้น Domain Ownership
ถ้า Domain ของบริษัท พยายามจดในชื่อของบริษัท อย่าจดในชื่อของ พนักงาน IT
ข้อมูลที่สำคัญที่สุดของ Domain คือ Owner Detail
ใช้อีเมลล์ที่อยู่กับเราตลอดไป เพราะการจดโดเมน มันจะเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ติดต่อกับเรา เรียกว่า Registant Email
บันทึกข้อมูลที่เกี่ยวกับ Domain ของเราไว้ให้ดี วันหมดอายุ ผู้ติดต่อ และอื่น ๆ


ที่มา : สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สรุปบทที่ 1 Bcom 4202 การจัดการธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์

ผลกระทบของการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีผลกระทบต่อธุรกิจในปัจจุบัน
    
    - ความนิยมใช้ Social Network และ Virtual World มีมากขึ้น
    - รูปแบบการนำเสนอบนเว็บไซต์มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมมากขึ้น
    - มีการพัฒนาในด้านของ Mobile Device ทำให้ Mobile Commerce มีแน้วโน้มมากขึ้น
    - LBS : Location Based Service เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการดำรงชีวิตประจำวัน

โลกเสมือน (Virtual World) การจำลองสภาพแวดล้อม ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการใช้งานหลายคน พร้อม ๆ กันผ่านเครือข่ายออนไลน์

Location Based Service (LBS) เป็นบริการอย่างหนึ่งที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีไร้สาย ที่ทำให้บุคคลหรือองค์กรอื่น ๆ ระบุตำแหน่งที่อยู่ของผู้ใช้อุปกรณ์ไร้สายได้อย่างแม่นยำ

บริการเครือข่ายสังคม (Social Network Service) เป็นรูปแบบของการสร้างสังคมบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยเป็นที่รวบรวมของกลุ่มคนที่เชื่อมโยงกัน โดยที่นิยมเช่น Hi5   Facebook เป็นต้น โดยในยุคปัจจุบัน มีการหาผลประโยชน์ คือ การหาเงินจากการโฆษณา และการเล่นเกมส์

ในปัจจุบันการดำเนินธุรกิจได้มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว หากยังไม่มีการปรับหรือเปลี่ยนแปลงองค์กรย่อมจะไม่มีทางที่ประสบผลสำเร็จได้

ความแตกต่างระหว่าง E-Commerce กับ E-Business

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce) คือ การทำธุรกรรมผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับองค์กร ลดค่าใช้จ่ายในการเก็บคลังสินค้า

ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic-Business) คือ การดำเนินกิจกรรมทาง "ธุรกิจ" ต่าง ๆ โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อทำให้กระบวนการทางธุรกิจ มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของคู่ค้า

BI - Business Intelligence 
การรวบรวมข้อมูลข่าวสารด้านตลาด ข้อมูลลูกค้า และคู่แข่งขัน

EC - Electronic Commerce
เทคโนโลยีที่ช่วยทำให้เกิดการสั่งซื้อ การขาย การโอนเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์

CRM - Customer Relationship Management
การบริหารจัดการ การบริหาร และการสร้างความสัมพันธ์ที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจกับทั้งสินค้า และบริการ นอกจากกนี้ ยังเป็นการนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการบริการลูกค้า

SCM - Supply Chain Management
การประสาน ห่วงโซ่ทางธุรกิจ ห่วงโซ่ทางธุรกิจ ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบ ผู้ผลิต ผู้จัดส่ง ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก จนถึงมือผู้บริโภค

ERP - Enterprise Resoure Planning
กระบวนการของสำนักงานส่วนคลัง และการผลิต เช่น การรับใบสั่งซื้อ การจัดการใบสั่งซื้อ การจัดสินค้าคลคลัง เป็นต้น โดยระบบ ERP จะช่วยในกระบวนการดังกล่าวมีประสิทธิภาพและลดต้นทุน

Intranet  ระบบเครือข่ายภายในองค์กร โดยจะใช้เทคโนโลยีเดียวกับการเข้าชมเว็บไซต์ทั่วไป แต่จะจำกัดการใช้ได้แค่ พนักงานในองค์กรเท่านั้น

Extranet เป็นบริการที่เป็นให้บริการผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์ มีลักษณะเหมือน Intranet จะใช้บริการได้เฉพาะ ลูกค้า เจ้าของปัจจัยการผลิต และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเท่านั้น ที่จะใช้ระบบได้


ที่มา : สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่